วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

10 อย่าง ที่ไมโครซอฟท์จะทำในปี 2551 (Microsoft Predictions for 2008)

ช่วงนี้ใกล้ปีใหม่เข้าไปทุกทีแล้วนะครับ เลยแปลบทความสิ่งที่คาดว่าไมโครซอฟท์จะทำในปี 2008 มาเป็นของขวัญให้ผู้อ่านบล็อกแล้วกันนะครับ

1. Windows Media Center รุ่นใหม่ ซึ่งมี code name ว่า Fiji คาดว่าจะออกตัวเต็มมาราวๆ ไตรมาสที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะมาพร้อมกับ Windows Vista (service pack 1) สิ่งที่ได้ปรับปรุงเพิ่มขึ้น เช่น
  • UI หรือหน้าตาโปรแกรมให้เข้ากับ Vista
  • ใช้ .NET Framework 3.5
  • ใช้ WinFX แทน NTFS โดยตรง (ประมาณ Virtual Folder)
  • HD-DVD playback build-in ซึ่งไม่ต้องลง decoder อื่น
  • integrate กับ Windows Live
  • เพิ่มความปลอดภัยด้วยการ implement NGSCB ลงไป
  • เพิ่มประสิทธิภาพ HDTV
2. ไมโครซอฟท์จะสามารถตกลงเรื่อง license กับ Apple ในการใช้โปรโตคอล Active Sync ได้ ไม่เกินปี 2008 นี้ ข้อตกลงนี้จะทำให้ iPhone สามารถ sync ข้อมูลต่างๆ เช่น email, calendar, contact list จาก Microsoft Exchange Server ได้
3. ไมโครซอฟท์อาจจะได้ตัว Don Mattrick ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาเกมส์ของ Electronic Arts (EA) มาร่วมงานในส่วนธุรกิจบันเทิง (Interactive Entertainment Business) ซึ่งจะทำให้ Shane Kim รองประธาน ฝ่าย Games Studio โดนย้ายไปทำงานส่วนอื่น และจะเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธุรกิจเกมส์ของไมโครซอฟต์

4. ไมโครซอฟท์จะพัฒนาเครื่องมือสำหรับ Facebook ออกมามากมาย เพื่อออกมาชนกับ Google (ซึ่งหนึ่งในนั้นคงจะมีเหมือน OpenSocial เช่น Microsoft Windows Live Contacts API ที่ไมโครซอฟท์กำลังพัฒนาอยู่)

5. Windows Mobile Phone จะนำความแปลกใหม่และความสามารถจาก Zune มารวมไว้ (เช่น การเคลื่อนนิ้วมือเพื่อเลือกหรือเปลี่ยนอะไรบางอย่างในหน้าจอ) และจะกลายมาเป็น Microsoft ZunePhone ใน ปี 2009 แต่ปี 2008 อาจจะออก Windows Mobile Music Feature (คล้าย concept nokia ไหม) มาก่อน

6. Microsoft Office เวอร์ชั่น 14 จะมี beta มาให้ลองในปี 2008 ซึ่งตัวเต็มจะกำหนดออกในปี 2009 (ไม่มี Office เวอร์ชั่น 13 นะครับ ส่วน MS Office 2007 คือ Office เวอร์ชั่น 12)
7. หลังจากที่ไมโครซอฟท์ได้ออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Enterprise Server มาในปี 2007 เช่น Microsoft Office Communications Server, SharePoint และ Exchange Server ซึ่งในปี 2008 นี้ ไมโครซอฟท์ก็จะออกมาเพิ่มอีก นั้นคือ Microsoft ForeFront สำหรับการเพิ่มความปลอดภัยและเพิ่มความสะดวกในการจัดการความปลอดภัย (Security) และผลิตภัณฑ์ประเภท Business-Intelligence (BI)

8. การต่อสู่ของมาตรฐาน format ของ document ยังมีต่อ เพราะเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2008 นี้ ไมโครซอฟท์จะส่ง OOXML เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมาตรฐาน ISO อีกครั้ง หลังจากปรับปรุงแก้ไขหลายๆ ส่วนมาแล้ว ซึ่งมีความเชื่อว่า OOXML จะได้รับการตอบรับจากคณะกรรมการ แม้จะมีการคัดค้านอย่างหนักก็ตาม และสงครามยกถัดไปจะขึ้นอยู่กับตัวแทนแต่ละประเทศ ว่าจะกำหนดเงื่อนไขที่จะยอมรับอย่างไร
9. Windows 7 จะออกในปี 2008 ค่อนข้างแน่นอน

10. Bruce Chizen, CEO ของ Adobe ที่จะหมดสัญญาการทำงานกับ Adobe เมื่อสิ้นปี 2007 อาจจะได้ร่วมงานกับไมโครซอฟท์ ในส่วนผลิตภัณฑ์ตระกูล Expression ซึ่งขณะนี้ Microsoft กับ Adobe ถือเป็นคู่แข่งด้าน design tool กัน

แหล่งข้อมูล :
What’s on Microsoft’s agenda for 2008?
Microsoft in 2008: 10 Predictions
Looking at Fiji and Vienna
Microsoft ForeFront

วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

คนที่ค้นหาเกี่ยวกับ VB ส่วนใหญ่ใช้ keyword อะไรกัน? (What popular VB keywords in Google)

ปกติเวลาผมอยากจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Visual Basic ผมมักจะใช้ keyword คำว่า VB.NET นำหน้าเสมอ (หลายทีก็ใช้ C# นำ) แต่พอผมลองใช้ Google Trends ในการเปรียบเทียบ keywords ต่างๆ ที่เกี่ยวกับ visual basic พบว่า VB.NET ที่ผมใช้บ่อยๆ กลับมีคนใช้กันน้อยที่สุด แต่ก็มียอดคงที่ๆ สุด คือ กราฟแทบจะขนานกับแกน x เลย

หลังจาก Microsoft ออก VB.NET มา นักพัฒนาก็เลยมีปัญหาการใช้ keywords ใน search engine มากขึ้น เพราะมีตัว keyword เพิ่มขึ้น บางทีก็ใช้ vb, vb.net, visual basic ถ้าเปรียบเทียบกับ java ก็ใช้ keyword java อย่างเดียวมาตลอด (แต่ไม่ทราบว่าทุกคนคิดเหมือนผมรึเปล่านะครับ ที่เวลา search ถ้าใช้ VB หรือ Visual Basic มันจะได้ผลลัพธ์ที่มี VB6 หรือก่อนหน้ามาด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าใช้ VB.NET หรือ Visual Basic.NET หมายถึงเอาผลลัพธ์เฉพาะ VB บน .NET Framework)

วิเคราะห์จากสถิติ
สถิติบอกว่าคนใช้คำว่า VB และ Visual Basic ในการค้นหาน้อยลงเรื่อยๆ แต่ keyword อื่นไม่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงว่า คนใช้ VB น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าเป็นจริง เพราะเนื่องมาจากฐานคนใช้ VB6 ลดลงนั้นเอง ไอ้ที่ลดลงก็ไม่ใช่ว่าหันไปใช้ VB.NET นะ เพราะสถิติการใช้งานไม่เพิ่มขึ้น เลยสงสัยว่าคนคงหันไปใช้ C# แน่เลย ก็ลองใช้ Google Trends ในการเปรียบเทียบกับ C# อีก พบว่า C# ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น งั้นเอา Java มาเทียบดูอีก (เพราะคาดว่าคนอาจจะหนีไปเล่น Java เลย) แต่ผลกลับเป็นว่าแนวโน้วภาษาหลักๆ ส่วนใหญ่มีการใช้งานที่ลดลงหรือไม่ก็คงที่

นั่งงงซักพัก เลยลองหันมาดูสถานการณ์รอบตัว เพื่อมาเปรียบเทียบกับสถิติ แล้วพยายามสรุปตามกระบวนทรรศของผมเอง โดยผมได้ทำการเชื่อมโยงกับภาคการศึกษาไว้ด้วย ดังนี้ "แนวโน้มการศึกษาและใช้งานภาษา programming ลดลงโดยรวมทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทย แม้ว่าความนิยมในสายงาน computer จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ความนิยมเรียนในสาขา computer science ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น กลับนิยมเรียนสาขา IT ที่มีการเรียนหรือใช้งานด้าน programming น้อย แสดงให้เห็นกลายๆ ว่า คนชอบ programming น้อยลง ทั้งเด็กนักศึกษาและคนทำงาน เห็นได้จากการเบนไปทำอย่างอื่นมากขึ้น เช่น Tester, SA, DBA, Data Warehouse (ยังพบว่าตำแหน่งที่ว่ามา มีเด็กจบใหม่ทำงานมากขึ้น แทนที่จะมีประสบการณ์ programming มาบ้าง) ดังนั้น การที่ Google Trends บอกว่า VB หรือ Visual Basic ลดลง โดย keyword อื่นไม่ได้เพิ่มขึ้นนั้น จึงน่าจะมาจากเหตุข้างต้นนี้" (ผมเปรียบเทียบเฉพาะกับภาษาหลักๆ ที่ได้รับความนิยมนะครับ)

ส่วนในประเทศที่ใช้งาน Visual Basic อันดับต้นๆ นั้น 8 ใน 10 เป็นแถบเอเชีย (รวม Australia ด้วย)
ประเทศอินเดียจะใช้ Visual Basic มากที่สุดในโลก อันนี้ผมไม่ทราบที่มาเหมือนกันครับว่า วัฒนธรรมเค้าเป็นอย่างไร

สิ่งที่น่าสังเกต คือ
  1. News reference volume หมายถึง keywaords นี้ ปรากฎอยู่ในข่าวของ Google (Google News stories) มากน้อยเพียงใด ก็พบว่ามีข่าวเกี่ยวกับ VB เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ 2006 ที่ผ่านมา
  2. เมื่อเราใช้ Google Trends มาเปรียบเทียบภาษา Visual Basic กับภาษาอื่นๆ ยังไงก็แพ้กันเยอะ เพราะ keywords ของ Visual Basic เองมีหลายตัว ซึ่งถ้าเลือกไปเปรียบเทียบเพียงตัวเดียว เส้นกราฟ Visual Basic ที่ได้จะต่ำมาก ผมไม่รู้ว่ามันสามารถรวมกลุ่มของ keywords ได้ไหมนะครับ ท่านใดชำนาญช่วยค้นหาให้ที บางทีข้อมูลที่ได้อาจจะตรงกับความเป็นจริงมากขึ้นอีก
  3. ถ้าเปรียบเทียบ ASP กับ ASP.NET ก็พบว่ามีลักษณะเหมือนกันกับ VB จึงยืนยันได้ว่า เทคโนโลยีเก่าของ Microsoft มีการใช้งานน้อยลง โดยผู้ใช้เทคโนโลยีใหม่ (.NET) ไม่ได้เพิ่มขึ้น
แหล่งข้อมูล :
Google Trends
Google Trends - vb, vb.net, visual basic, C#

วันพุธที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

มาดูเครื่องมือสำหรับสร้างเกมส์ 3D ที่ทำด้วย .NET และ XNA กัน (First shader-based 3D engine & design tool built on .NET and XNA)

หลังจากที่เครียดๆ กันมาซักพัก เรามาบันเทิงกับเทคโนโลยีเครื่องมือผลิตเกมส์บ้างนะครับ

เครื่องมือตัวนี้มีชื่อว่า Visual3D.NET เป็นทั้ง engine และ tool สำหรับทำเกมส์บน PC และ Xbox 360โดยเฉพาะ คิดว่าน่าจะเป็น tool ตัวแรกๆ เลยมั่ง ที่ใช้ .NET Framework และ XNA Framework ในการพัฒนาเครื่องมือนี้ รองรับหลายภาษา ทั้ง C#, VB.NET, C++, JavaScript, IronPython ฯลฯ และ Integrate กับ Visual Studio 2005 และ CAD ได้ด้วย

ผมว่าต้องลองดูด้วยตาเลยดีกว่าครับ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นยังไง และ work ขนาดไหน ถ้าใครสนใจจริงๆ จังๆ ก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเองนะครับ

Virtual World Creation with Visual3D.NET



แหล่งข้อมูล
:
visual3d.net
Microsoft XNA (Wikipedia)
ThaiXNA

วันจันทร์ที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ปัญหาจากการ Attach ไฟล์ใน SQL Server เมื่อมีการเคลื่อนย้ายไฟล์ (Attach files problem in SQL Server 2005)

SQL Server นั้น สามารถเคลื่อนย้ายฐานข้อมูลได้หลายวิธี ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การใช้ขบวนการ attach/detach จากไฟล์ .mdf และ .ldf ที่นิยมกันมาก เพราะง่ายและสะดวก (แต่จะไม่สะดวกถ้าฐานข้อมูลมีข้อมูลจำนวนมาก เพราะทำให้ไฟล์มีขนาดใหญ่) แต่ปัญหาที่พบกันมากคือ เมื่อนำไฟล์ฐานข้อมูลไป attach ไว้อีกเครื่อง diagrams จะไม่สามารถใช้ได้ โดยจะมีคำเตือนขึ้นว่า "Database diagram support objects cannot be installed because this database does not have a valid owner. To continue, first use the File page of the Database Properties dialog box or the ALTER AUTHORIZATION statement to set database owner to a valid login, then add the database diagram support objects." อีกปัญหาคือย้าย path ของไฟล์ฐานข้อมูล (โดย copy หรือ cut ก็ตาม) ก็จะพบปัญหาการ login ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน

ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการสร้างสิทธิ์ให้ user ที่ต้องการ ให้สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลนั้นได้ โดยใช้คำสั่ง

ALTER AUTHORIZATION ON DATABASE::database_name TO valid_login

database_name หมายถึง ฐานข้อมูลที่มีปัญหา ส่วน valid_login หมายถึง user ที่ต้องการกำหนดสิทธิ์

ถ้ายังไม่มี user สำหรับการเข้าถึงฐานข้อมูลนั้น ให้สร้าง user ในโฟลเดอร์ Security (ไม่ใช่ Security ในฐานข้อมูลนั้นนะครับ) คลิ๊กขวาที่โฟลเดอร์ Logins เพื่อเลือก New Login แล้วค่อยใช้คำสั่งด้านบนให้สิทธิ์แก่ user ใหม่ที่สร้างขึ้น

และสุดท้าย อย่าลืม stop services ก่อน เคลื่อนย้ายหรือก็อปปี้นะครับ ไม่งั้นจะโดนเตือนแบบนี้ครับ


แหล่งข้อมูล :
Understanding Database Diagram Ownership

วันจันทร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เทคนิคการทำ multiple query ใน connection เดียว โดยใช้ MARS ใน ADO.NET 2.0 (Multiple active result sets - MARS)

ส่วนใหญ่แอพพลิเคชั่นที่ต้องติดต่อฐานข้อมูล เรามักจะสร้าง DataAccess Layer มาเป็นตัวจัดการกับฐานข้อมูล แทนที่จะติดต่อโดยตรง ซึ่งตัว DatAccess นี้ ก็ต้องใช้ ADO.NET ที่มี Connection object เป็นตัวระบุฐานข้อมูล ซึ่งการ query หรือ insert, update, delete แต่ละครั้ง (รวมทั้งการ call Store Procedure ด้วย) ก็ต้องเปิด/ปิด connection ทุกครั้ง ถ้ามีการติดต่อกับฐานข้อมูลถี่มากๆ จะทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมลดลง เพราะต้องใช้ bandwidth ของระบบเครือข่ายมากขึ้น ผมเคยแอบ query หลายๆ ครั้งใน connection เดียว ผลที่ได้คือ ระบบเตือนว่า "There is already an open DataReader associated with this Connection which must be closed first."

ทางแก้คือ ใช้เทคนิคการสร้าง connection ด้วย MARS (Multiple Active Result Sets) เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะ SQL Server 2005 กับ ADO.NET 2.0 เท่านั้น (เวอร์ชั่นต่ำกว่านี้ทำไม่ได้) วิธีการก็แสนง่าย แค่ระบุ MultipleActiveResultSets=True เพิ่มเข้าไปใน Connection String เท่านั้นเอง เช่น

"Server=myServerAddress;Initial Catalog=TestDatabase;User Id=admin;Password=1234;User Instance=False;MultipleActiveResultSets=True"

แหล่งข้อมูล :
Connection String (SQL Server 2005)
ADO.NET 2.0 Multiple Active Resut Sets per connection in Sql Server 2005
Multiple Active Result Sets (MARS) in SQL Server 2005
Developing Client Applications with ADO .NET 2.0
Execute Multiple Queries on a Single Connection
Teach Old Data New Tricks with the Fully Loaded Advances in ADO.NET 2.0

วันศุกร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

ลองของใหม่กับ Visual Studio 2008 Express Edition

Visual Studio 2008 Express Edition
เช่นเดิมครับ กับรุ่นใช้งานฟรีเวอร์ชั่น express ซึ่งพ่วง SQL Server 2005 Express มาด้วย (SQL Server 2008 จะออกในประมาณปีหน้า) ตัวที่ผมนำลงที่เครื่องตัวเองนั้น ผมเลือกดาวน์โหลดแบบ offline install ซึ่งรวมทุกตัวเลย ขนาดประมาณ 800 MB กว่าๆ ถ้าใครอยากจะ install แยก ก็ต้องเลือกแบบ web install ซึ่งถ้าเน็ตไม่แรงผมไม่แนะนำ

ใช้เวลาลงประมาณครึ่ง ชม. (แล้วแต่เครื่องใครเร็วใครช้า) ใครไม่อยากลง SQL Server 2005 Express ก็ไม่ต้องเลือก .NET Framework ที่มากับ 2008 คือเวอร์ชั่น 3.5

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในการพัฒนา Windows Application คือ WPF(Windows Presentation Foundation) ซึ่งผมลองเล่นซักพักแล้วมึนครับ เพราะแนวคิดการสร้าง UI ต่างไปจากเดิมมาก สงสัยต้องเหนื่อยศึกษาเพิ่มเติม ที่สังเกตคือ UI ทั้งหมดคือ XAML สามารถกำหนดรูปแบบ รูปร่างหน้าตา อีเวนต์ ได้จากใน XAML เลย ส่วน control ต่างๆ ก็มีแปลกๆ เพิ่มขึ้นเยอะ เช่น Elipse (วงรี), Frame, Canvas, Expander เป็นต้น

แต่ Intelisense ฉลาดขึ้นเยอะเลย ผมรู้สึกว่าการเขียน VB.NET ใน VS2008 ตัวนี้ให้อารมณ์เหมือน C# เลยครับ เดี๋ยวต่อไปอาจขอลอง LINQ และ WPF ให้ชำนาญก่อน แล้วค่อยมาบอกกล่าวกัน (ที่จริง .NET 2.0 ยังศึกษาไม่ครบเลย)

อ๋อ...ลืมพูดถึง Visual Web Developer 2008 ไป ซึ่งตัวนี้ผมเห็นแค่มีโปรเจ็คชนิด WCF เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ไม่มีโปรเจ็คเทมเพลตแบบ AJAX ตอนแรกนึกว่าจะไม่มี AJAX มาด้วย ที่แท้ก็ build-in มาแล้ว เป็น Microsoft AJAX Library เวอร์ชั่น 3.5 ครับ (Microsoft AJAX Library 1.0 ใช้กับ .net framework รุ่นก่อนหน้าเท่านั้น)

สุดท้าย ที่เครื่องผมลง VS2005 อยู่นะครับ ไม่ก้าวก่ายกันครับ สบายใจได้ ก็เหมือนตอน VS2005 ออกใหม่ๆ นึกว่าจะไปกวน VS2003 ที่แท้ก็สงบเสงี่ยมอยู่ของใครของมันครับ (ที่จริงที่เครื่องผมลง Expression Blend + .NET 3.0 ไว้ด้วยซ้ำ) และที่สำคัญไม่ช้านะครับ พอๆ กับ VS2005 เลยครับ

แหล่งข้อมูล :
Visual Studio 2008 Express Developer Center

วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

รูปแบบโครงสร้างของ Regular Expression (Regular Expression Syntax)

เรื่องราวของ Regular Expression นั้น มีมานานก่อนการเกิดขึ้นของ .NET เพราะมีพื้นฐานมาจากวิชา Theory of Computation ซึ่งมีการนำไปใช้ในการทำ string matching กันอย่างมาก โดยมีภาษา Perl ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพในเรื่องนี้ และก็กลายเป็นรูปแบบที่ .NET ยืมมาใช้ด้วย (Perl5 compatible) การทำ string matching นั้น มีประโยชน์มากในการกลั้นกรอง หรือตรวจสอบข้อความที่ต้องการ

ที่ผมใช้บ่อยๆเห็นจะเป็นการตรวจสอบ user input สำหรับ .NET แล้ว กรณีที่เป็น Web Application สามารถใช้คอนโทรลกลุ่ม validation เช่น RequiredFieldValidator, RangeValidator เป็นต้น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคอนโทรลที่ชื่อ RegularExpressionValidator อันมีความสามารถ ในการสกัดเอาเฉพาะข้อความที่ต้องการได้ รูปแบบสไตล์ AJAX ด้วย (เพราะเบื้องหลังใช้ความสามารถของ JavaScript) โดยต้องเขียน Regular Expression ไว้ที่ properties ชื่อ ValidationExpression ส่วนกรณีเป็น Windows Application นั้น จะใช้คลาส System.Text.RegularExpressions.Regex มาตรวจสอบเอง (ที่จริงกรณีเป็น Web Application ก็สามารถใช้คลาสนี้ตรวจสอบเองที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ก็ได้)

การเขียน Regular Expression และตัวอย่างการใช้งาน
\ คือ สัญลักษณ์บ่งบอกอักขระพิเศษที่ต่อท้ายมัน เช่น \\ หมายถึง \, \( หมายถึง (, \n หมายถึง newline, \r หมายถึง return

^ คือ สัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็น จุดเริ่มต้นของข้อความ (กรณีที่ใช้อ๊อบเจ็ค Regex แล้วกำหนดพร็อบเพอร์ตี้ Option เป็น MultiLine จะถือว่า \n หรือ \r คือจุดเริ่มต้นเสมอ)

$ คือ สัญลักษณ์ของ จุดสิ้นสุดของข้อความ ซึ่งคล้ายกับ ^

(ส่วนใหญ่สัญลักษณ์ ^ หรือ $ จะใช้กับข้อความที่มีหลายบรรทัด)

* คือ สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า อักขระหน้ามันจะมีซ้ำกี่ครั้งก็ได้ หรือไม่มีเลยก็ได้ (หรือพูดง่ายๆ ว่าตั้งแต่ 0 ตัวขึ้นไป) ตัวอย่างเช่น ab* หมายถึง a, ab, abb, abbb, abbb... อีกตัวอย่าง (ab)*c หมายถึง c, abc, ababc, abab....c เป็นต้น

+ คือ สัญลักษณ์ที่คล้ายๆ * แต่ต่างกันที่ + จะต้องมีอย่างน้อย 1 ตัว (หรือตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป) ถ้าใช้ตัวอย่างคล้ายๆ ด้านบนเช่น ab+ หมายถึง ab, abb, abbb... อีกตัวอย่าง (ab)+c หมายถึง abc, ababc, abab.....c

? คือ สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า อักขระหน้ามันจะมีหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้ามีจะมีแค่ชุดเดียว ตัวอย่างเช่น ab? หมายถึง a หรือ ab เท่านั้น อีกตัวอย่าง a(bc)? หมายถึง a หรือ abc เท่านั้น

(ข้อสังเกต สัญลักษณ์จะครอบคลุมแค่อักขระหน้ามันตัวเดียวเท่านั้น เช่น ab+ แค่อักษร b ตัวเดียวเท่านั้นที่มีอย่างน้อย 1 ตัว ถ้าต้องการให้ครอบคลุมตัวอักษรที่ต้องการให้ใส่วงเล็บคลุมไว้)

ตัวอย่างการนำไปใช้จริง
email
รูปแบบ "\w+([-+.]\w+)*@\w+([-.]\w+)*\.\w+([-.]\w+)*"
ตัวอย่างที่ valid ผ่าน เช่น ex-th3.d@thailand5-go.co.th
ตัวอย่างที่ valid ไม่ผ่าน เช่น ex-@gmail.

แหล่งข้อมูล :
Introduction to Regular Expressions
Regular Expression Syntax
Use Regular Expressions to Constrain Input in ASP.NET

วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

อัพโหลดไฟล์แบบ AJAX บน ASP.NET (ASP.NET AJAX FileUpload)

ในการทำระบบอัพโหลดไฟล์บน ASP.NET AJAX Extension โดยใช้ FileUpload Control นั้น ผมพบว่าไม่สามารถอัพโหลดได้ เมื่อลอง Debug ดู พบว่า property ชื่อ PostedFile ของอ็อบเจ็ค FileUpload มีค่าเป็น 'null' หรือ 'Nothing' ผมจึงได้พยายามหาคำตอบจึงพบว่า ในเว็บ http://www.asp.net/ajax/documentation/live/overview/UpdatePanelOverview.aspx (หัวข้อ Controls that Are Not Compatible with UpdatePanel Controls) ได้บอกเป็นทางการไว้แล้วว่า server control ใดบ้างที่ UpdatePanel Control ไม่ซัพพอร์ต ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ FileUpload ที่มีการใช้งานแบบ asynchronous postback (เป็นการทำงานโดย default ของ UpdatePanel Control)

ด้วยปัญหาที่ได้เขียนมา ผมก็ต้องแก้ไขปัญหาโดยการค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งพบว่า มีคนแก้ปัญหานี่ไว้หลายวิธี เรียงตามความยุ่งยากในการ implement นะครับ ได้แก่

1. กำหนดให้ UpdatePanel Control ที่มี FileUpload Control ทำงานแบบ synchronous postback นั้นคือต้องไปกำหนด attribute ของ UpdatePanel เป็น UpdateMode="Conditional" แล้วเพิ่มแท็ก <Triggers> เข้าไปแท็กลูกของแท็ก UpdatePanel Control เช่น

<asp:UpdatePanel ID="UpdatePanel1" runat="server" UpdateMode="Conditional">
<Triggers>
<asp:PostBackTrigger ControlID="btnUpload" />
</Triggers>
<ContentTemplate>
<asp:FileUpload ID="FileUpload1" runat="server" Width="380px" />
....

* ข้อเสียของวิธีที่ 1 คือ ถ้าเราใช้ AJAX Control ที่ทำงานแบบ asynchronous postback เช่น UpdateProgress (ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของ web app. แบบ AJAX) จะไม่สามารถทำงานได้

2. เขียน JavaScript เพิ่ม เพื่อเสริมการทำงาน ซึ่งเท่าที่ผมค้นมาได้ก็เห็นอยู่ 3 คน คือ
1).ของ Dzianis ซึ่งเขียนโค้ดไว้ใน CodeProject.com โดย Dzianis ได้ใช้ AJAX ร่วมกับเว็บเซอร์วิสในการอัพโหลดไฟล์
2).ของ Vinayak Kumar Shrestha เป็นคนเนปาล เขียนรายละเอียดไว้ที่บล็อกตัวเอง 2 บทความ โดยบทความแรก (Uploading files using asp.net ajax extensions) เป็นการบอกปัญหาและทางแก้ไข บทความที่ 2 (ajax extensions file upload workaround) เป็นตัวอย่างจริงในการแก้ปัญหาซึ่งมีโค้ด VB.NET ให้ดาน์วโหลดด้วย (zip 4kB) ซึ่งผมลองนำมาใช้ดู พบว่ายังมีการมี postback หน้าเว็บอยู่ ทำให้มีไม่ความรู้สึกเป็น AJAX
3).ของ Kazi Manzur Rashid (Amit) ซึ่งเขียนวิธีของเค้าไว้ในบทความ Create An Ajax Style File Upload ที่บล็อกเค้า มีให้ดาน์วโหลดโค้ดด้วย

3. ใช้ Custom ASP.NET AJAX Server Control ที่มีผู้สร้างไว้ เท่าที่ผมหาเจอ คือของ Subgurim ที่ codeplex.com ตอนที่ผมเขียนเค้าทำถึงเวอร์ชั่น 1.2 ไฟล์ดาวน์โหลดเป็น .dll (ถ้าสนใจวิธีการสร้างหรือต้องการนำมา customize ต่อ ก็มี source code ให้โหลดครับ) ขั้นตอนการนำมาใช้ก็ง่ายๆ เพียงนำไฟล์ FUA.dll ไปวางไว้ในโฟลเดอร์ bin ของ web app. ของเรา แล้วเพิ่ม
<%@ Register Assembly="FUA" Namespace="Subgurim.Controles" TagPrefix="cc1" %>
ที่ไฟล์ .aspx และเอา
<cc1:FileUploaderAJAX ID="FileUploaderAJAX1" runat="server" />
ไปวางไว้ในส่วนที่ต้องการให้แสดงคอนโทรล ส่วนในหน้า code-behide (.cs หรือ .vb) ให้ประกาศเนมสเปชที่ด้านบนก่อน เช่น using Subgurim.Controles; หรือ Imports Subgurim.Controles แล้วเขียนคำสั่งใน Page_Load และ Method ดังนี้

//สำหรับ C#
protected void Page_Load(object sender, EventArgs e)
{
if (FileUploaderAJAX1.IsPosting)
this.managePost();
}

private void managePost()
{
HttpPostedFileAJAX pf = FileUploaderAJAX1.PostedFile;

//กรณีต้องการต้องสอบชนิดและขนาดไฟล์
if (pf.ContentType.Equals("image/gif") && pf.ContentLength <= 5 * 1024)
FileUploaderAJAX1.SaveAs("~/temp", pf.FileName);
}


4. สร้าง Custom ASP.NET AJAX Server Control ขึ้นใช้เอง ซึ่งผมน่าจะเขียนแยกไว้เป็นอีกบทความนึง ผู้สนใจลองดูวีดีโอนี้ไปก่อนครับ How Do I:Build a Custom ASP.NET AJAX Server Control? ความยาวประมาณ 20 นาที

แหล่งข้อมูล :
UpdatePanel Control Overview
ASP.NET AJAX Videos
fileuploadajax.subgurim.net
Simple AJAX File Upload

วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

รูปแสดงระหว่างรอการทำงาน เหมาะกับ AJAX (AJAX Progress Image Indicators)

ใครที่ใช้ AJAX คงจะต้องการ progress images ไว้แสดงขั้นเวลาแน่นอน พอดีผมไปหาเจอแหล่งรูปดีๆ เลยนำมาบอกกันครับ ตัวอย่างข้างล่าง
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

http://www.napyfab.com/ajax-indicators/
เว็บนี้เป็นรูปแสดงทั้งหน้าเลย มีให้เลือกแบบรูปที่มี background สีขาวและดำ (เว็บนี้ไม่มีแล้วนะครับ)

http://www.ajaxload.info/
เว็บนี้ เป็นเครื่องมือให้ generate รูปตามต้องการเลยครับ

http://mentalized.net/activity-indicators/
เว็บนี้รูปน้อย แต่มีแปลกๆ

แหล่งข้อมูล :
Tip/Trick: UpdateProgress Control and AJAX Activity Image Animations

วันศุกร์ที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

การสร้างเลขลำดับแถวในตารางข้อมูล (Create row number in Gridview)

เลขลำดับแถว (row number) คือ เลขที่เรียงจาก 1 ถึงจำนวนสุดท้ายของข้อมูล ส่วนใหญ่จะเอาไว้เป็น column แรกสุดของตาราง ในกรณีนี้คือ ตาราง Gridview ที่มีการ biding ข้อมูลมาจากฐานข้อมูลนะครับ ดังรูปข้างล่าง

วิธีการสร้างก็มีอยู่ 2 วิธี คือ
1. กำหนดไว้ในคำสั่ง SQL
2. กำหนด column เพิ่มไว้ใน Gridview แล้วสร้าง label หรือ control ที่ต้องการไว้ข้างใน

สำหรับผมแล้ววิธีที่ 2 ค่อนข้างยุ่งยากและเขียนโค้ดยาวกว่า เพราะต้องมาคอยกำหนดเลขใหม่ตอน Databound ทุกครั้ง และผมจึงได้ใช้วิธีที่ 1 ซึ่งสะดวกกว่ามากครับ โดยการกำหนดสั่งใน SQL ก็แค่ไปแทรกไว้ในส่วนหลังคำสั่ง Select เท่านั้นเอง เช่น

จาก
SELECT CustomerID, CustomerName, CustomerAddress FROM tblCustomer

เป็น
SELECT Row_Number() OVER(ORDER BY CustomerID) AS RowNo, CustomerID, CustomerName, CustomerAddress FROM tblCustomer

และในการนำเลขลำดับแถวที่ได้จากการ query ก็เพียงกำหนด properties ชื่อ DataField ใน column ที่ต้องการเป็น RowNo เท่านั้น (ชื่อสามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ)

แหล่งข้อมูล :
displaying gridview row index number
Row number to gridview - dotnetspider
How to display row numbers in GridView - MSDN - Create column
Display Row number count increment in grid view using template column

วันพฤหัสบดีที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เข้ารหัส/ถอดรหัส ด้วย Monoalphabetic Substitution Cipher โดยใช้ VB.NET (Monoalphabetic Substitution Cipher with VB.NET)

(ผมได้ทำการ implement การเข้าและถอดรหัส Monoalphabetic Substitution Cipher นี้ เป็น project ใน codeplex.com แล้วนะครับ ถ้าต้องการดูตัวอย่าง source code ซึ่งตอนนี้คือ version 1.0 beta กรุณาไป download ที่ http://www.codeplex.com/MonoalphabetCipher)

การเข้ารหัส/ถอดรหัสด้วยอัลกอรึทึม Monoalphabetic Substitution นั้น ถือว่าไม่มีความสลับซับซ้อนทางคณิตศาสตร์แต่อย่างใด เพียงมีตารางการแทนที่ที่ตกลงกันไว้เท่านั้น ตัวอักษรที่จะนำแทนที่ก็กำหนดได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับตัวอักษร ดังรูป ซึ่งในการเขียนโปรแกรม อาจนำชุดตัวอักษรสำหรับแทนที่มาเก็บเป็น key

ตัวอย่างโค้ดการเข้ารหัสแบบ Monoalphabetic Substitution Cipher

'Key ในที่นี้ ต้องเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ 26 ตัว
'ซึ่งต้องไม่ซ้ำกัน และเป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็ได
Function Encrypt(ByVal PlainText As String, ByVal Key As String) As String
Dim CharArray(PlainText.Length - 1) As Char
Dim KeyTable As New System.Collections.Specialized.ListDictionary

'สร้างตารางแทนที่ โดยให้ 65,97 คือ A,a ... 90,122คือ Z,z
For Count As Byte = 0 To 25
KeyTable.Add((Count + 65).ToString, Key(Count).ToString.ToUpper)
KeyTable.Add((Count + 97).ToString, Key(Count).ToString.ToLower)
Next

For Count As Byte = 0 To PlainText.Length - 1
'แปลงตัวอักษรใน plain text เป็นรหัส ASCII
'แล้วนำรหัส ASCII ไปหาค่าในตารางแทนที่
CharArray(Count) = KeyTable.Item(Asc(PlainText(Count)).ToString)
Next

Return CharArray
End Function

ตัวอย่างโค้ดการเข้ารหัสแบบ Monoalphabetic Substitution Cipher

Function Decrypt(ByVal CipherText As String, ByVal Key As String) As String
Dim CharArray(CipherText.Length - 1) As Char
Dim KeyTable As New System.Collections.Specialized.ListDictionary

'สร้างตารางแทนที่ โดยให้ A,a คือ 65,97 ... Z,z คือ 90,122
For Count As Byte = 0 To 25
KeyTable.Add(Key(Count).ToString.ToUpper, (Count + 65).ToString)
KeyTable.Add(Count).ToString.ToLower, (Count + 97).ToString)
Next

For Count As Byte = 0 To CipherText.Length - 1
'หารหัส ASCII จากตารางแทนที่ แล้วนำไปแปลงเป็นตัวอักษร
CharArray(Count) = Chr(KeyTable.Item(CipherText(Count).ToString))
Next

Return CharArray
End Function


แหล่งข้อมูล :
Substitution cipher
โปรแกรม encrypt/decrypt ด้วย monoalphabetic
Monoalphabetic Cipher - The Black Chamber

เข้ารหัส/ถอดรหัส ด้วย Rail Fence Cipher โดยใช้ VB.NET (Rail Fence Transposition Cipher with VB.NET)

(ผมได้ทำการ implement การเข้าและถอดรหัส Rail Fence Cipher นี้ เป็น project ใน codeplex.com แล้วนะครับ ถ้าต้องการดูตัวอย่าง source code ซึ่งตอนนี้คือ version 1.0 beta กรุณาไป download ที่ http://www.codeplex.com/RailFenceCipher)

Rail Fence Cipher หรือที่เรียกกันว่า อัลกอรึทึมแบบแนวรั้ว เป็นอัลกอรึทึมแบบ Transposition หรือแบบสลับตำแหน่งอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมีแนวคิดมาจากวิธีส่งข้อความลับทางการทหาร ของชาวสปาตัน (Spartans) ในยุคกรีกโบราณ อุปกรณ์ประกอบด้วย ไม้กระบอกเหลี่ยมกับเส้นหนังสัตว์ยาวที่สลักตัวอักษรไว้ วิธีใช้ต้องนำสายหนังมาพันรอบแท่งกระบอกเหลี่ยม แล้วอ่านตามยาวของแท่งกระบอก ก็ถือเป็นการถอดรหัสแล้ว ดังรูป

การใช้งานจริง การเข้ารหัสแบบ Rail Fence Cipher จะมีการกำหนด key ซึ่งใช้เป็นจำนวนแถวของผลลัพธ์ ดังนั้น ต้องนับจำนวนตัวอักษรในข้อความที่เป็น plain text แล้วนำมาหารด้วย key จะได้จำนวน column ของผลลัพธ์ (กรณีมีเศษให้ปักขึ้นอีก 1) ตอนนี้ให้นึกถึงรูปเมตริกซ์ 2 มิติ แล้วนำข้อความ plain text มาเขียนใหม่ในเมตริกซ์จากบนลงล่างทีละ column จนหมด เสร็จนำข้อความในเมตริกซ์จากซ้ายไปขวา ทีละแถว มาเขียนเป็นข้อความเรียงแถวเดียว ก็จะได้ข้อความที่ถูกเข้ารหัสแล้ว

ตัวอย่างโค้ดการเข้ารหัสแบบ Rail Fence Cipher

Function Encrypt(ByVal PlainText As String, ByVal Key As Byte) As String
'หาจำนวน column
Dim ColumnNum As Byte = PlainText.Length \ Key
If (PlainText.Length Mod Key) > 0 Then ColumnNum += 1

Dim CharMatrix(Key - 1, ColumnNum - 1) As Char
Dim CharArray(CharMatrix.Length - 1) As Char

'นำตัวอักษรใน PlainText มาเรียงในเมตริกซ์ (Array 2 มิติ)
'เรียงจากบนลงล่างทีละคอลัมน์
Dim Count As Byte = 0
For CountCol As Byte = 0 To ColumnNum - 1
For CountRow As Byte = 0 To Key - 1
If Count <= PlainText.Length - 1 Then
CharMatrix(CountRow, CountCol) = PlainText(Count)
Count += 1
Else
CharMatrix(CountRow, CountCol) = Nothing
End If
Next CountRow
Next CountCol

'อ่านตัวอักษรในเมตริกซ์ จากซ้ายไปขวา ทีละแถว
'มาเรียงเป็นข้อคาวมแถวเดียว
Count = 0
For CountRow As Byte = 0 To Key - 1
For CountCol As Byte = 0 To ColumnNum - 1
If Not CharMatrix(CountRow, CountCol) = Nothing Then
CharArray(Count) = CharMatrix(CountRow, CountCol)
Count += 1
End If
Next CountCol
Next CountRow

'ส่งค่าตัวอักษรที่เป็น array กลับเป็น string
Return CharArray
End Function

ตัวอย่างโค้ดการถอดรหัสแบบ Rail Fence Cipher

Function Decrypt(ByVal CipherText As String, ByVal Key As Byte) As String
'หาจำนวน column
Dim ColumnNum As Byte = CipherText.Length \ Key
If (CipherText.Length Mod Key) > 0 Then ColumnNum += 1

'หาจำนวน cell ว่าง
Dim EmptyNum As Byte
Dim CharTotal As Byte = CipherText.Length
EmptyNum = IIf(CharTotal Mod Key = 0, 0, Key - (CharTotal Mod Key))

Dim CharMatrix(Key - 1, ColumnNum - 1) As Char
Dim CharArray(CharMatrix.Length - 1) As Char

'นำตัวอักษรใน cipher text มาเรียงในเมตริกซ์ (Array 2 มิติ)
'เรียงจากซ้ายไปขวา ทีละแถว
Dim Count As Byte = 0
For CountRow As Byte = 0 To Key - 1
'แถวที่ไม่มีช่องว่าง
If CountRow <= (Key - 1 - EmptyNum) Then
For CountCol As Byte = 0 To ColumnNum - 1
CharMatrix(CountRow, CountCol) = CipherText(Count)
Count += 1
Next CountCol
Else 'แถวที่มีช่องว่าง
For CountCol As Byte = 0 To ColumnNum - 2 CharMatrix(CountRow, CountCol) = CipherText(Count)
Count += 1
Next CountCol
End If
Next CountRow

'อ่านตัวอักษรในเมตริกซ์ จากบนลงล่างทีละคอลัมน์
'มาเรียงเป็นข้อความแถวเดียว
Count = 0
For CountCol As Byte = 0 To ColumnNum - 1
For CountRow As Byte = 0 To Key - 1
If Not CharMatrix(CountRow, CountCol) = Nothing Then
CharArray(Count) = CharMatrix(CountRow, CountCol)
Count += 1
End If
Next CountRow
Next CountCol

'ส่งค่าตัวอักษรที่เป็น array กลับเป็น string
Return CharArray
End Function


ข้อควรสังเกตในอัลกอรึทึม คือ ช่องว่างที่อยู่ในเมตริกซ์ (Array) ซึ่งเกิดจากจำนวนตัวอักษรไม่พอดีกับจำนวน cell ในเมตริกซ์ อาจจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดหรือเรียงข้อมูลไม่ถูกต้องได้ การถอดรหัสค่อนข้างยุ่งยากกว่าเข้ารหัส เนื่องจากต้องคำนวณหาช่องว่างจากข้อความ cipher text

แหล่งข้อมูล
Rail Fence Cipher - wikipedia
Scytale - wikipedia
Transposition cipher - wikipedia
Rail Fence Cipher - The Black Chamber - โปรแกรม (JavaScript)
The Rail-Fence Cipher - math.temple.edu - โปรแกรม (JavaScript)
The Crypto Tutorial - แบบฝึกหัดมากมาย
ข้อสอบ Mid-Term ของ Mount Holyoke College อเมริกา (CS100 วิชาคอมเบื้องต้น)

วันพุธที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เข้ารหัสข้อความ แบบ Caesar Shift Cipher โดยใช้ VB.NET (Caesar Shift Cipher with VB.NET)

(ผมได้ทำการ implement การเข้าและถอดรหัส Caesar Shift Cipher นี้ เป็น project ใน codeplex.com แล้วนะครับ ถ้าต้องการดูตัวอย่าง source code ซึ่งตอนนี้คือ version 1.0 กรุณาไป download ที่ http://www.codeplex.com/CaesarShiftCipher ผมได้เขียนไว้ทั้ง 2 ภาษา คือ VB.NET และ C# --- update เมื่อ 25 กันยายน 2550)

เนื่องจากใน Framework ของ .NET มี class ที่เกี่ยวข้องกับ security มากมาย รวมถึงมี class ที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัส/ถอดรหัส เช่น MD5, DES, RSA ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอัลกอรึทึมที่ไม่ใช่แบบพื้นฐาน หรือแบบ classic เช่น algorithm แบบ caesar shift, monoalphabetic substitution, route, rail fence เป็นต้น

ผมจึงเขียนโค้ดที่ implement อัลกอรึทึมแบบ classic ที่ว่านี้ ไว้ให้นักศึกษา หรือผู้สนใจทั่วไปได้ไปศึกษากัน โดย algorithm แรก คือ Caesar Shift Cipher

Caesar Shift Cipher หรือที่เรียกว่าอัลกอรึทึมแบบเลื่อน ทำงานโดยการแทนข้อความต้นฉบับ ด้วยตัวอักษรถัดไปจำนวน k ตัว (โดย k คือ ตัวเลข ซึ่งนำมาใช้เป็น Key) อัลกอรึทึมนี้ถูกนำมาใช้ในสมัย จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) การใช้งานเช่น เข้ารหัสตัวอักษร A ด้วย key เป็น 3 ดังนั้นผลลัพธ์คืออักษรถัดไปจาก A 3 ตัว ซึ่งก็คือ D เป็นต้น

ตัวอย่างอัลกอรึทึม Caesar Shift Cipher ที่เขียนด้วย VB.NET

Function Encrypt(ByVal PlainText As String, ByVal Key As Byte) As String
'แปลง plaintext ที่เป็น string ให้เป็น array ของตัวอักษร
Dim PlainChar() As Char = PlainText.ToCharArray()
Dim Ascii(PlainChar.Length) As Byte

For Count As Byte = 0 To PlainChar.Length - 1
'แปลงตัวอักษรเป็นรหัส ASCII ที่เป็นตัวเลข
Ascii(Count) = CByte(Asc(PlainChar(Count)))

'คัดเฉพาะตัวอักษร A-Z และ a-z นอกนั้นไม่มีการเข้ารหัส
'A-Z มีรหัส ASCII เป็น 65-90
'a-z มีรหัส ASCII เป็น 97-122
If Ascii(Count) >= 65 And Ascii(Count) <= 90 Then
Ascii(Count) -= 65 'ให้ A-Z มีค่าเริ่มต้นจาก 0 ถึง 25 ตามลำดับ
Ascii(Count) = (Ascii(Count) + Key) Mod 26 Ascii(Count) += 65
'สามารถเขียนให้อยู่ในบรรทัดเดียวได้
'Ascii(Count) = ((Ascii(Count) - 65 + Key) Mod 26) + 65
ElseIf Ascii(Count) >= 97 And Ascii(Count) <= 122 Then
Ascii(Count) -= 97 'ให้ a-z มีค่าเริ่มต้นจาก 0 ถึง 25 ตามลำดับ
Ascii(Count) = (Ascii(Count) + Key) Mod 26
Ascii(Count) += 97
'สามารถเขียนให้อยู่ในบรรทัดเดียวได้
'Ascii(Count) = ((Ascii(Count) - 97 + Key) Mod 26) + 97
End If

'แปลงตัวเลข ASCII กลับเป็นตัวอักษร
PlainChar(Count) = Chr(Ascii(Count))
Next

'ส่งค่าตัวอักษรที่เป็น array กลับเป็น string
Return PlainChar
End Function


สำหรับการถอดรหัสให้เปลี่ยนจาก
Ascii(Count) = (Ascii(Count) + Key) Mod 26
เป็น
Ascii(Count) = (26 + Ascii(Count) + Key) Mod 26

ฟังก์ชั่นนี้จะต้องรับค่า ข้อความที่เป็น string และ key ที่เป็นตัวเลขมาเข้ารหัส และ return ค่า ข้อความที่เข้ารหัสแล้วเป็น string ซึ่งสามารถใช้กับตัวอักษรภาษาอังกฤษ A-Z ทั้งตัวพิมพ์เล็กและใหญ่ได้ เพราะมีการใช้รหัส ASCII มาช่วยในการระบุตำแหน่งตัวอักษร ถ้าจะให้มีการใช้กับภาษาอื่นๆ ได้ ต้องมีการคำนวณตัวเลขจากรหัส Unicode และตัวอย่างนี้ไม่ได้ตรวจสอบ user input หรือดักจับข้อผิดพลาด ดังนั้นถ้าจะนำไปใช้ก็ควรนำไปประยุกต์อีกที คำอธิบายประกอบอยู่ในโค้ดแล้ว ถ้าไม่เข้าใจก็ comment ถามมาได้นะครับ

ส่วนของคนอื่นที่เขียนไว้ก็มีของ Deobrat Singh ชาวอินเดียที่เขียนไว้สั้นมากๆ ในเว็บ The Code Project ข้อเสียคือไม่มีการจำกัดตัวอักษร ซึ่งเมื่อเข้ารหัสตัวอักษรท้ายๆ เช่น Z จะไม่วนกลับมาที่ A, B, C , ... ใหม่ ข้อดีคือง่ายและใช้ได้กับหลายภาษา

ชุดคำสั่งสำคัญ ของ Deobrat Singh

cipherInChars(i) = Convert.ToChar((Convert.ToInt32( _
Convert.ToChar(plainText(i))) + Me.ShiftCount))


นำมาปรับลดคำสั่งการแปลงชนิดข้อมูลอีกนิดหน่อย

Function Encrypt(ByVal PlainText As String, ByVal Key As Byte) As String
Dim PlainChar(PlainText.Length - 1) As Char

For Count As Byte = 0 To PlainText.Length - 1
'ในกรณี Decrypt ให้เปลี่ยนจากเครื่องหมายบวกเป็นลบ
PlainChar(Count) = ChrW(AscW(PlainText(Count)) + Key)
Next

'ส่งค่าตัวอักษรที่เป็น array กลับเป็น string
Return PlainChar
End Function


อีกคน คือ Ghaith Nizar Sinjab ชาวซีเรีย (syria) เขียนไว้ค่อนข้างยาว ซึ่งเป็นตัวอย่างของการพยายามให้รองรับได้หลายภาษา ในที่นี้เค้าทำเป็นตัวอย่างไว้เพียง 2 ภาษา ในที่นี้จะไม่ขออธิบายถึง

สำหรับข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้คือ ก-ฮ ใน Unicode คือเลข 3585-3630

ปล. ใครต้องการเขียนเป็น JavaScript ลองดูที่เว็บ Black Chamber (ceasar.js) หรือ java2s นะครับ

แหล่งข้อมูล
Caesar cipher - wikipedia
Transposition cipher - wikipedia
Caesar cipher - The Black Chamber
Caesar Cipher in JavaScript - java2s
Implementing Caesar Cipher in VB.NET - The Code Project - Deobrat Singh
Caeser Cipher v1.0 - Ghaith Nizar Sinjab

วันเสาร์ที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

การขึ้นบรรทัดใหม่ในข้อความ (Newline in string)

เรื่องการขึ้นบรรทัดใหม่ในข้อความนี้ ก็ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรทำความเข้าใจสำหรับมือใหม่นะครับ ถ้าจะพูดกันจริงๆ ก็ต้องพูดตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ เพราะในอนาคตอาจจะต้องใช้ .NET บน Unix ก็เป็นได้ โดย syntax การขึ้นบรรทัดใหม่บน Unix ส่วนใหญ่ จะเป็น \n (backslash n) เช่น korn shell, bash shell, ภาษา C เป็นต้น ส่วน c shell นั้น ใช้ \ ตัวเดียวซึ่งมีเงื่อนไขการใช้เหมือนกัน ถ้าสนใจศึกษาก็ลองดูจากลิ้งค์ข้างล่างนะครับ

แต่สำหรับ DOS จะใช้ \r\n (\r แทน return ซึ่งมาจากปุ่ม return บน keyboard ของเครื่อง mini computer หรือ mainframe ปุ่มนี้บน keyboard ของเครื่อง PC ในปัจจุบัน คือ ปุ่ม enter ส่วน \n คือ newline นั้นเอง) ซึ่งก็สืบทอดมาใช้บนระบบ Windows จนถึง .NET Framework ด้วย

สำหรับรายละเอียดของ \r และ \n ก็มีที่มาจาก ASCII code โดยถ้าดูจากตาราง (กรุณาดูในลิ้งค์ข้างล่างประกอบ) จะพบว่ารหัสที่ 1-32 และรหัสที่ 127 เป็นรหัสที่ไม่มีการแสดงผลบนหน้าจอ ซึ่ง \r และ \n ก็คือ หนึ่งในนั้น


\r เรียกว่า CR (carriage return) แทน ^M เลขฐานสิบเป็น 13 (เลขฐานสิบหกเป็น 0D)
\n เรียกว่า LF (line feed) แทน ^J เลขฐานสิบเป็น 10 (เลขฐานสิบหกเป็น 0A)

ใน .NET Framework ได้มีพร็อพเพอร์ตี้ NewLine ในคลาส Environment ให้เลือกใช้ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในกรณีที่ต้องการ cross platform เพราะ NewLine ให้ค่าบรรทัดใหม่ตาม OS ที่ .NET Framework ติดตั้งอยู่ ถ้าไม่ใช้ Environment.NewLine การเขียนโปรแกรมก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละภาษา ดังตัวอย่างข้างล่าง

สำหรับภาษา VB.NET

Dim NewlineTesting As New System.Text.StringBuilder

'Convert number of ASCII to Charecter
'Char(เลขฐานสิบใน ASCII) คือ การแปลงรหัส ASCII เป็น Charecter
NewlineTesting.Append("This is first line" + Chr(13) + Chr(10))

'vbCr, vbLf and vbCrLf คือค่าคงที่ใน Namespace ชื่อ Microsoft.VisualBasic
'vbCr, vbLf and vbCrLf are constant value in Microsoft.VisualBasic
NewlineTesting.Append("This is second line" + vbCr + vbLf)
NewlineTesting.Append("This is third line" + vbCrLf)

'For implement in Windows Form
'กรณีเขียน Win. App. สามารถใช้ Keys.Return และ Keys.LineFeed ได้ ซึ่งช่วยกรณีที่จำรหัส ASCII ไม่ได้
NewlineTesting.Append("This is forth line" + Chr(Keys.Return) + Chr(Keys.LineFeed))

'Environment.NewLine is platform independence new line
'Environment.NewLine เป็นการขึ้นบรรทัดใหม่โดยใช้ได้กับทั้ง VB และ C# ซึ่งไม่ขึ้นกับ OS ด้วย
NewlineTesting.Append("This is fifth line" + Environment.NewLine)

NewlineTesting.Append("This is sixth line")

สำหรับภาษา C#

StringBuilder newlineTesting = new StringBuilder();
newlineTesting.Append("This is first line \r\n");
newlineTesting.Append("This is second line" + Environment.NewLine);
newlineTesting.Append("This is third line");

แหล่งข้อมูล :
ASCII Table
ASCII Code Table
VB.NET string method to handle escape sequences
Using CR and LF: The Options. (VB.NET)
Top Ten Reasons not to use the C shell
Learning the Korn Shell, 2nd Edition
\n ไม่เท่ากับการขึ้นบรรทัดใหม่บน Windows

วันอังคารที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Northwind อยู่ไหน (Where is northwind in SQL Server 2005?)

สำหรับคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ฐานข้อมูลของไมโครซอฟต์ ไม่ว่าจะเป็น MS Access, SQL Server 7.0, 2000 คงคุ้นเคยกับฐานข้อมูลตัวอย่างที่มีมาให้ในชื่อ Northwind และ แต่สำหรับ SQL Server 2005 กลับหายไป ผมเพิ่งสังเกตตอนจะใช้ทดสอบโปรแกรม พอหาข้อมูลก็รู้ว่า ทางไมโครซอฟต์เก็บไว้ในลิ้นชักไปแล้วครับ เพราะว่าไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีพอในการ implement ตัว analysis services หรือ reporting services (แต่ในรุ่น SQL Server Compact Edition ยังใช้ northwind อยู่ครับ) แต่ก็พอหาโหลด northwind ได้ที่ Northwind and pubs Sample Databases for SQL Server 2000 แต่กระนั้นทางไมโครซอฟต์ก็แนะนำว่าถ้าใช้ SQL Server 2005 ก็ใช้ฐานข้อมูลตัวอย่างตัวใหม่ดีกว่า ในชื่อ AdventureWorks ซึ่งไปเก็บไว้ใน codeplex ตามไป download ได้ที่ Microsoft SQL Server Samples and Community Projects ในโครงการนี้ยังพบตัวอย่างอีกหลายๆ script หรือข้อมูลที่ใช้กับ Analysis Services, Integration Services (DTS), Reporting Services, Transact SQL Scripts, XML etc. ถ้าขี้เกียจอ่านอะไรมากมายก็มาลิ้งนี้เลยดีกว่าครับ Sample Databases for Microsoft SQL Server 2005 SP2 licensed with the MS-PL license.

ปล. การใช้ northwind ใน SQL Server 2005 ต้องเซต properties ฐานข้อมูลให้ใช้ 90 compatibility level ก่อนนะครับ หรือลองอ่านเพิ่มเติมที่ NorthWind Database for SQL Server 2005 and installation method

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม :
Download details: SQL Server 2005 Compact Edition Developer SDK
Where is the Northwind SQL scripts for SQL server 2005
Sample Databases in SQL Server 2005 - Jeff Atwood blog
SQL SERVER - 2005 NorthWind Database or AdventureWorks Database - Samples Databases - Pinal Dave

วันศุกร์ที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

การออกแบบ xml เพื่อใช้กับ DataSet อ็อบเจ็ค (XML structure for DataSet)

มีคนถามมาว่าทำไมมีแต่บทความพื้นๆ จัง คือ ที่จริงผมตั้งใจจะเรียงลำดับตามหนังสือที่ผมอ่านครับ แต่เมื่อมีคนถามเข้า และประจวบกับผมจะเอาความรู้บางอย่างที่ใช้ในการทำงาน มาเก็บเอาไว้ เพราะผมลืมสิ่งที่ทำไปแล้วง่ายมากๆ วันนี้มีโอกาสได้ใช้เกี่ยวกับไฟล์ XML ซึ่งใช้ในการเก็บข้อมูลบางอย่าง แล้วต้องมีการนำข้อมูลในไฟล์ขึ้นมาใช้

โดยทั่วไป ถ้าเรานึกถึงไฟล์ เราก็ต้องนึกถึง เนมสเปส (Namespace) ที่ชื่อ IO ดังนั้นในการไปติดต่อกับไฟล์ XML จึงต้องใช้อ็อบเจ็คของคลาสใน IO ไปติดต่อ แต่ผมต้องการเขียนโค้ดสั้นๆ และง่ายๆ จึงใช้ DataSet ตัวเดียว แทนการใช้ Syste.IO มาใช้ในการดึงข้อมูลจากไฟล์ XML และทั้งเก็บข้อมูลไว้ในตัวมัน ซึ่งสะดวกจริงๆ ครับ ไม่ต้องมานั่งหา node เพื่อดึงข้อมูล

ก่อนอื่นเราต้องสร้างไฟล์ XML ของเราขึ้นมาก่อนครับ ผมขอยกตัวอย่างและอธิบายเลยนะครับ
โครงสร้าง XML ต่อไปนี้ คือตัวอย่างของการสร้าง dataset ที่มี 1 ตาราง 1 คอลัมน์ และ 1 แถว

<?xml version="1.0" encoding="utf-8" ?>
<datasetName>
<tableName>
<columnName>data on row</columnName>
</tableName>
</datasetName>

ถ้าต้องการหลายๆ แถว โครงสร้าง XML จะต้องเพิ่มตั้งส่วนที่เป็นชื่อตารางเข้าไป

<?xml version="1.0" encoding="utf-8" ?>
<datasetName>
<tableName>
<columnName>data on row1</columnName>
</tableName>
<tableName>
<columnName>data on row2</columnName>
</tableName>
<tableName>
<columnName>data on row3</columnName>
</tableName>
</datasetName>


ส่วนการเพิ่มคอลัมน์ก็ต้องเพิ่มชื่อคอลัมน์ไปทุกๆ แถวๆเลยนะครับ

<?xml version="1.0" encoding="utf-8" ?>
<datasetName>
<tableName>
<columnName1>data on row1</columnName1>
<columnName2>data on row1</columnName2>
</tableName>
<tableName>
<columnName1>data on row2</columnName1>
<columnName2>data on row1</columnName2>
</tableName>
<tableName>
<columnName1>data on row3</columnName1>
<columnName2>data on row1</columnName2>
</tableName>
</datasetName>


และสุดท้ายก็เป็นที่รู้กันครับว่า ใน dataset สามารถเก็บตารางได้หลายตาราง ดังนั้นต้องแสดงกรณีต้องการหลายๆ ตารางครับ โครง XML เป็นดังนี้

<?xml version="1.0" encoding="utf-8" ?>
<datasetName>
<!-- Table 1 -->
<tableName1>
<columnName1>data on row1</columnName1>
<columnName2>data on row1</columnName2>
</tableName1>
<tableName1>
<columnName1>data on row2</columnName1>
<columnName2>data on row2</columnName2>
</tableName1>
<tableName1>
<columnName1>data on row3</columnName1>
<columnName2>data on row3</columnName2>
</tableName1>
<!-- Table 2 -->
<tableName2>
<columnName1>data on row1</columnName1>
<columnName2>data on row1</columnName2>
<columnName3>data on row1</columnName3>
</tableName2>
<tableName2>
<columnName1>data on row2</columnName1>
<columnName2>data on row2</columnName2>
<columnName3>data on row2</columnName3>
</tableName2>
</datasetName>


และสุดท้ายก็คือ การดึงข้อมูลจาก XML ไฟล์ ด้วย DataSet ซึ่งก็ง่ายนิดเดียวครับ แค่บรรทัดเดียว (สร้าง object ds ไว้ก่อนด้วยนะครับ เดี๋ยว error)

'สำหรับ VB.NET
ds.ReadXml("c:\example.xml")

//สำหรับ C#
ds.ReadXml(@"c:\example.xml");

ถ้าแก้ไขข้อมูลแล้วจะเก็บลงคืน XML ไฟล์ ก็บรรทัดเดียวอีกเหมือนกันครับ

'สำหรับ VB.NET
ds.WriteXml("c:\example.xml")

//สำหรับ C#
ds.WriteXml(@"c:\example.xml");


ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูครับ และอย่าลืมว่า syntax ของ XML เป็นแบบ case sensitive นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Shared Source ลิขสิทธิ์แบบโอเพ่นซอร์สของไมโครซอฟต์ (Shared Source Licenses)

เรามาลองดูกันว่า Shared Source Licenses นี้ จะทำให้ชาว Open Source พอใจแค่ไหน เริ่มจากประเภทของ Licenses ที่จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. Microsoft Public License (Ms-PL) ประเภทนี้จะอนุญาตให้เราดู แก้ไข(
modify) แจกจ่าย(redistribute) ซอร์สโค้ด เพื่อการค้าหรือไม่ก็ได้ ซึ่งสามารถคิดค่าแรงให้การปรับแก้ซอร์สโค้ดได้ ไมโครซอฟต์เองก็ใช้ license นี้ กับ tool ในการพัฒนาซอฟต์แวร์, โปรแกรม และ component ต่างๆ ที่แจกฟรี เช่น IronPython, IronRuby เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่พบได้ใน Codeplex.com

2. Microsoft Reciprocal License (Ms-RL) ออกแบบมาสำหรับโปรเจ็คที่มีการพัฒนาร่วมกับหลายๆ โปรเจ็ค (
collaborative development projects) ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกันของแต่ละโปรเจ็ค ช่วยให้สามารถนำวิธีการ เทคโนโลยี และซอร์สโค้ดของกันแะักันมาใช้ได้ และอนุญาตให้นำไปแก้ไข แจกจ่าย เพื่อกาค้าหรือไม่ก็ได้

ก่อนหน้านี้ Ms-PL ใช้ชื่อว่า Microsoft Permissive License แต่ได้เปลี่ยนเป็น Microsoft Public License ก่อนที่จะส่งให้ Open Source Initiative (OSI) พิจารณา ซึ่งล่าสุดทาง OSI ก็ออกมารับรอง licenses ทั้ง 2 นี้แล้ว เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 ที่ผ่านมา

ไหนๆ ก็พูดถึง licenses ใหม่ๆ ของไมโครซอฟต์แล้ว ก็พูดถึงอีก 3 แบบ ที่ไม่ได้เป็น open source บ้าง แต่ไมโครซอฟต์จะนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์เพื่อการค้าของตัวเอง ได้แก่

Microsoft Reference License มีข้อจำกัดมากที่สุด คือ อนุญาตให้ดูหรือศึกษาซอร์สโค้ด เพื่อเรียนรู้วิธีการหรือเทคโนโลยีได้เท่านั้น ห้ามนำไปแก้ไขแจกจ่าย ทางไมโครซอฟต์เองก็ได้ใช้ license ประเภทนี้ กับพวก library ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ เช่น .NET Framework 3.5
Microsoft Limited Public License (Ms-LPL) เหมือนกับ Ms-PL แต่อนุญาตให้ใช้เฉพาะบน Windows เท่านั้น
Microsoft Limited Reciprocal License (Ms-LRL)
เหมือนกับ Ms-RL แต่อนุญาตให้ใช้เฉพาะบน Windows เท่านั้น

จุดเด่นที่ทางไมโครซอฟต์พัฒนา license ขึ้นมา คือ license อ่านง่าย สั้น และไม่เป็นภาษากฎหมายเกินไป ผมจะลองยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับ GPL เวอร์ชั่น 2 ให้ดูข้างล่างนะครับ



Microsoft Permissive License (Ms-PL)

This license governs use of the accompanying software. If you use the software, you accept this license. If you do not accept the license, do not use the software.

1. Definitions

The terms "reproduce," "reproduction," "derivative works," and "distribution" have the same meaning here as under U.S. copyright law.

A "contribution" is the original software, or any additions or changes to the software.

A "contributor" is any person that distributes its contribution under this license.

"Licensed patents" are a contributor's patent claims that read directly on its contribution.

2. Grant of Rights

(A) Copyright Grant- Subject to the terms of this license, including the license conditions and limitations in section 3, each contributor grants you a non-exclusive, worldwide, royalty-free copyright license to reproduce its contribution, prepare derivative works of its contribution, and distribute its contribution or any derivative works that you create.

(B) Patent Grant- Subject to the terms of this license, including the license conditions and limitations in section 3, each contributor grants you a non-exclusive, worldwide, royalty-free license under its licensed patents to make, have made, use, sell, offer for sale, import, and/or otherwise dispose of its contribution in the software or derivative works of the contribution in the software.

3. Conditions and Limitations

(A) No Trademark License- This license does not grant you rights to use any contributors' name, logo, or trademarks.

(B) If you bring a patent claim against any contributor over patents that you claim are infringed by the software, your patent license from such contributor to the software ends automatically.

(C) If you distribute any portion of the software, you must retain all copyright, patent, trademark, and attribution notices that are present in the software.

(D) If you distribute any portion of the software in source code form, you may do so only under this license by including a complete copy of this license with your distribution. If you distribute any portion of the software in compiled or object code form, you may only do so under a license that complies with this license.

(E) The software is licensed "as-is." You bear the risk of using it. The contributors give no express warranties, guarantees or conditions. You may have additional consumer rights under your local laws which this license cannot change. To the extent permitted under your local laws, the contributors exclude the implied warranties of merchantability, fitness for a particular purpose and non-infringement.



GNU General Public License (GPL) version 2

Copyright (C) 1989, 1991 Free Software Foundation, Inc.
59 Temple Place, Suite 330, Boston, MA 02111-1307 USA

Everyone is permitted to copy and distribute verbatim copies
of this license document, but changing it is not allowed.

Preamble

The licenses for most software are designed to take away your freedom to share and change it. By contrast, the GNU General Public License is intended to guarantee your freedom to share and change free software--to make sure the software is free for all its users. This General Public License applies to most of the Free Software Foundation's software and to any other program whose authors commit to using it. (Some other Free Software Foundation software is covered by the GNU Library General Public License instead.) You can apply it to your programs, too.

When we speak of free software, we are referring to freedom, not price. Our General Public Licenses are designed to make sure that you have the freedom to distribute copies of free software (and charge for this service if you wish), that you receive source code or can get it if you want it, that you can change the software or use pieces of it in new free programs; and that you know you can do these things.

To protect your rights, we need to make restrictions that forbid anyone to deny you these rights or to ask you to surrender the rights. These restrictions translate to certain responsibilities for you if you distribute copies of the software, or if you modify it.

For example, if you distribute copies of such a program, whether gratis or for a fee, you must give the recipients all the rights that you have. You must make sure that they, too, receive or can get the source code. And you must show them these terms so they know their rights.

We protect your rights with two steps: (1) copyright the software, and (2) offer you this license which gives you legal permission to copy, distribute and/or modify the software.

Also, for each author's protection and ours, we want to make certain that everyone understands that there is no warranty for this free software. If the software is modified by someone else and passed on, we want its recipients to know that what they have is not the original, so that any problems introduced by others will not reflect on the original authors' reputations.

Finally, any free program is threatened constantly by software patents. We wish to avoid the danger that redistributors of a free program will individually obtain patent licenses, in effect making the program proprietary. To prevent this, we have made it clear that any patent must be licensed for everyone's free use or not licensed at all.

The precise terms and conditions for copying, distribution and modification follow.

TERMS AND CONDITIONS FOR COPYING, DISTRIBUTION AND MODIFICATION

0. This License applies to any program or other work which contains a notice placed by the copyright holder saying it may be distributed under the terms of this General Public License. The "Program", below, refers to any such program or work, and a "work based on the Program" means either the Program or any derivative work under copyright law: that is to say, a work containing the Program or a portion of it, either verbatim or with modifications and/or translated into another language. (Hereinafter, translation is included without limitation in the term "modification".) Each licensee is addressed as "you".

Activities other than copying, distribution and modification are not covered by this License; they are outside its scope. The act of running the Program is not restricted, and the output from the Program is covered only if its contents constitute a work based on the Program (independent of having been made by running the Program). Whether that is true depends on what the Program does.

1. You may copy and distribute verbatim copies of the Program's source code as you receive it, in any medium, provided that you conspicuously and appropriately publish on each copy an appropriate copyright notice and disclaimer of warranty; keep intact all the notices that refer to this License and to the absence of any warranty; and give any other recipients of the Program a copy of this License along with the Program.

You may charge a fee for the physical act of transferring a copy, and you may at your option offer warranty protection in exchange for a fee.

2. You may modify your copy or copies of the Program or any portion of it, thus forming a work based on the Program, and copy and distribute such modifications or work under the terms of Section 1 above, provided that you also meet all of these conditions:

a) You must cause the modified files to carry prominent notices stating that you changed the files and the date of any change.

b) You must cause any work that you distribute or publish, that in whole or in part contains or is derived from the Program or any part thereof, to be licensed as a whole at no charge to all third parties under the terms of this License.

c) If the modified program normally reads commands interactively when run, you must cause it, when started running for such interactive use in the most ordinary way, to print or display an announcement including an appropriate copyright notice and a notice that there is no warranty (or else, saying that you provide a warranty) and that users may redistribute the program under these conditions, and telling the user how to view a copy of this License. (Exception: if the Program itself is interactive but does not normally print such an announcement, your work based on the Program is not required to print an announcement.)

These requirements apply to the modified work as a whole. If identifiable sections of that work are not derived from the Program, and can be reasonably considered independent and separate works in themselves, then this License, and its terms, do not apply to those sections when you distribute them as separate works. But when you distribute the same sections as part of a whole which is a work based on the Program, the distribution of the whole must be on the terms of this License, whose permissions for other licensees extend to the entire whole, and thus to each and every part regardless of who wrote it.

Thus, it is not the intent of this section to claim rights or contest your rights to work written entirely by you; rather, the intent is to exercise the right to control the distribution of derivative or collective works based on the Program.

In addition, mere aggregation of another work not based on the Program with the Program (or with a work based on the Program) on a volume of a storage or distribution medium does not bring the other work under the scope of this License.

3. You may copy and distribute the Program (or a work based on it, under Section 2) in object code or executable form under the terms of Sections 1 and 2 above provided that you also do one of the following:

a) Accompany it with the complete corresponding machine-readable source code, which must be distributed under the terms of Sections 1 and 2 above on a medium customarily used for software interchange; or,

b) Accompany it with a written offer, valid for at least three years, to give any third party, for a charge no more than your cost of physically performing source distribution, a complete machine-readable copy of the corresponding source code, to be distributed under the terms of Sections 1 and 2 above on a medium customarily used for software interchange; or,

c) Accompany it with the information you received as to the offer to distribute corresponding source code. (This alternative is allowed only for noncommercial distribution and only if you received the program in object code or executable form with such an offer, in accord with Subsection b above.)

The source code for a work means the preferred form of the work for making modifications to it. For an executable work, complete source code means all the source code for all modules it contains, plus any associated interface definition files, plus the scripts used to control compilation and installation of the executable. However, as a special exception, the source code distributed need not include anything that is normally distributed (in either source or binary form) with the major components (compiler, kernel, and so on) of the operating system on which the executable runs, unless that component itself accompanies the executable.

If distribution of executable or object code is made by offering access to copy from a designated place, then offering equivalent access to copy the source code from the same place counts as distribution of the source code, even though third parties are not compelled to copy the source along with the object code.

4. You may not copy, modify, sublicense, or distribute the Program except as expressly provided under this License. Any attempt otherwise to copy, modify, sublicense or distribute the Program is void, and will automatically terminate your rights under this License. However, parties who have received copies, or rights, from you under this License will not have their licenses terminated so long as such parties remain in full compliance.

5. You are not required to accept this License, since you have not signed it. However, nothing else grants you permission to modify or distribute the Program or its derivative works. These actions are prohibited by law if you do not accept this License. Therefore, by modifying or distributing the Program (or any work based on the Program), you indicate your acceptance of this License to do so, and all its terms and conditions for copying, distributing or modifying the Program or works based on it.

6. Each time you redistribute the Program (or any work based on the Program), the recipient automatically receives a license from the original licensor to copy, distribute or modify the Program subject to these terms and conditions. You may not impose any further restrictions on the recipients' exercise of the rights granted herein. You are not responsible for enforcing compliance by third parties to this License.

7. If, as a consequence of a court judgment or allegation of patent infringement or for any other reason (not limited to patent issues), conditions are imposed on you (whether by court order, agreement or otherwise) that contradict the conditions of this License, they do not excuse you from the conditions of this License. If you cannot distribute so as to satisfy simultaneously your obligations under this License and any other pertinent obligations, then as a consequence you may not distribute the Program at all. For example, if a patent license would not permit royalty-free redistribution of the Program by all those who receive copies directly or indirectly through you, then the only way you could satisfy both it and this License would be to refrain entirely from distribution of the Program.

If any portion of this section is held invalid or unenforceable under any particular circumstance, the balance of the section is intended to apply and the section as a whole is intended to apply in other circumstances.

It is not the purpose of this section to induce you to infringe any patents or other property right claims or to contest validity of any such claims; this section has the sole purpose of protecting the integrity of the free software distribution system, which is implemented by public license practices. Many people have made generous contributions to the wide range of software distributed through that system in reliance on consistent application of that system; it is up to the author/donor to decide if he or she is willing to distribute software through any other system and a licensee cannot impose that choice.

This section is intended to make thoroughly clear what is believed to be a consequence of the rest of this License.

8. If the distribution and/or use of the Program is restricted in certain countries either by patents or by copyrighted interfaces, the original copyright holder who places the Program under this License may add an explicit geographical distribution limitation excluding those countries, so that distribution is permitted only in or among countries not thus excluded. In such case, this License incorporates the limitation as if written in the body of this License.

9. The Free Software Foundation may publish revised and/or new versions of the General Public License from time to time. Such new versions will be similar in spirit to the present version, but may differ in detail to address new problems or concerns.

Each version is given a distinguishing version number. If the Program specifies a version number of this License which applies to it and "any later version", you have the option of following the terms and conditions either of that version or of any later version published by the Free Software Foundation. If the Program does not specify a version number of this License, you may choose any version ever published by the Free Software Foundation.

10. If you wish to incorporate parts of the Program into other free programs whose distribution conditions are different, write to the author to ask for permission. For software which is copyrighted by the Free Software Foundation, write to the Free Software Foundation; we sometimes make exceptions for this. Our decision will be guided by the two goals of preserving the free status of all derivatives of our free software and of promoting the sharing and reuse of software generally.

NO WARRANTY

11. BECAUSE THE PROGRAM IS LICENSED FREE OF CHARGE, THERE IS NO WARRANTY FOR THE PROGRAM, TO THE EXTENT PERMITTED BY APPLICABLE LAW. EXCEPT WHEN OTHERWISE STATED IN WRITING THE COPYRIGHT HOLDERS AND/OR OTHER PARTIES PROVIDE THE PROGRAM "AS IS" WITHOUT WARRANTY OF ANY KIND, EITHER EXPRESSED OR IMPLIED, INCLUDING, BUT NOT LIMITED TO, THE IMPLIED WARRANTIES OF MERCHANTABILITY AND FITNESS FOR A PARTICULAR PURPOSE. THE ENTIRE RISK AS TO THE QUALITY AND PERFORMANCE OF THE PROGRAM IS WITH YOU. SHOULD THE PROGRAM PROVE DEFECTIVE, YOU ASSUME THE COST OF ALL NECESSARY SERVICING, REPAIR OR CORRECTION.

12. IN NO EVENT UNLESS REQUIRED BY APPLICABLE LAW OR AGREED TO IN WRITING WILL ANY COPYRIGHT HOLDER, OR ANY OTHER PARTY WHO MAY MODIFY AND/OR REDISTRIBUTE THE PROGRAM AS PERMITTED ABOVE, BE LIABLE TO YOU FOR DAMAGES, INCLUDING ANY GENERAL, SPECIAL, INCIDENTAL OR CONSEQUENTIAL DAMAGES ARISING OUT OF THE USE OR INABILITY TO USE THE PROGRAM (INCLUDING BUT NOT LIMITED TO LOSS OF DATA OR DATA BEING RENDERED INACCURATE OR LOSSES SUSTAINED BY YOU OR THIRD PARTIES OR A FAILURE OF THE PROGRAM TO OPERATE WITH ANY OTHER PROGRAMS), EVEN IF SUCH HOLDER OR OTHER PARTY HAS BEEN ADVISED OF THE POSSIBILITY OF SUCH DAMAGES.



นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึง ภาษาและความสั้นของ license ของทางไมโครซอฟต์ ที่เข้าใจปัญหาของนักพัฒนาต่อตัวบทกฎหมาย และให้ความสำคัญต่อวงการ Open Source ซึ่งผมว่าเรื่องความยาวของ license เนี้ย ไอเดียเหมือนทาง Creative Commons เลย แต่กระนั้น Linus Torvalds ก็จะไม่ชอบ licenses นี้ต่อไป (แต่ถ้าเทียบกับสมัยก่อน ผมว่า Microsoft ก็ปรับตัวดีขึ้นแล้วนะ ดีกว่ามาต่อต้าน Open Source ซึ่งผมก็ไม่ชอบท่าทีแบบนั้น)

แหล่งข้อมูล :
Shared Source Licenses (Microsoft)
Shared Source (wikipedia)
Shared Source Licensing (Matusow's Blog)
Microsoft now wants its Shared Source licenses to qualify as open source (ZDNet)
Shared Source License ได้รับการรับรองจาก OSI แล้ว - Blognone
เปิดซอร์สโค้ด .NET Framework 3.5 - Blognone