บทความนี้ ผมคัดลอกและปรับมาเพียงบางส่วนจากหนังสือ แผนแม่บทการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ของประเทศไทย โดย SIPA ซึ่งผมต้องการช่วยเผยแพร่ให้คนในวงการ ได้รับทราบหรือตระหนัก และนำไปสู่การพูดคุยเพื่อแก้ปัญหา"การพัฒนาบุคคลากรที่มีฝีมือและมีคุณภาพจำนวนมาก"
"เราอาจจะกล่าวได้ว่าหัวใจของความสำเร็จ ในการพัฒนาอุตสาหกรรม IT ก็คือ คน นี่เอง สิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับประเทศไทย คือ การพัฒนาบุคคลากร ซึ่งเราสร้างผู้จบการศึกษาเป็นจำนวนมากในแต่ละปี แต่กลับปรากฎว่า มีผู้สำเร็จการศึกษาตกงานเป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ในภาคอุตสาหกรรมนั้ขาดแคลนบุคลากร โดยเฉพาะประเภทที่เป็นฝีมือในระดับสูง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะระบบการศึกษาของประเทศไทยด้อยคุณภาพ ผลิตออกมาแต่ด้านปริมาณ โดยไม่มีคุณภาพที่ดีพอในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
ปัญหาเรื่องคุณภาพของระบบการศึกษานี้ ได้สร้างภาระให้กับผู้ประกอบการ และสถาบันต่างๆ ในการฝึกอบรมผู้ที่สำเร็จจากระบบการศึกษาสมัยใหม่ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่สิ้นเปลื้องทั้งค่าใช้จ่าย และเสียเวลาแก่ประเทศชาติเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรม IT ซึ่งมีการพัฒนาที่รวดเร็วมาก ดังนั้นความรู้ต่างๆ จึงต้องมีการปรับปรุงให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ประเทศอย่าง สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี ต่างก็พยายามพัฒนาระบบการศึกษา ให้มีคุณภาพในระดับสูงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องการเรียนรู้ให้ปฏิบัติในเชิงอุตสาหกรรมได้ แม้แต่ประเทศจีน มาเลเซีย และเวียดนาม ก็ได้พยายามยกฐานะและระดับการศึกษาให้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จนประสบความสำเร็จ เป็นที่ประทับใจจากนานประเทศ...................."ความคิดเห็น - เราลองคิดง่ายๆ ว่า เวลาเราจะไปฝึกอบรมในเอกชน ยังต้องเสียเงินสำหรับค่าสอน แต่เด็กจบใหม่ที่ไม่สามารถทำงานได้ เรากลับต้องจ่ายเงินเดือนพร้อมฝึกอบรมให้อีก และคนที่แบกภาระนี้ ส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่บริษัทขนาดเล็ก เพราะบริษัทขนาดใหญ่ต่างแย่งตัวเด็กที่เก่งๆ ไปหมดแล้ว บริษัทแบบ SME ทุนก็น้อย ยังต้องมารับภาระแบบนี้อีก
อยากฝากให้เด็กรุ่นใหม่ได้ตระหนัก 2 อย่าง คือ
1. การศึกษา ถือเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น การฝึกปฏิบัติจึงเป็นสิ่งจำเป็นพอๆ กับการเรียนรู้ให้ห้องเรียน ซึ่งหลายๆ คนนั้น ได้งานจากความรู้เชิงปฏิบัติ มากกว่าเกรดสวยๆ เสียอีก
2. เราอาจจะคิดว่าการศึกษาของเราเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งทำให้หลายๆ คนคิดว่า การเรื่องหนังสือไม่เก่ง ไม่เข้าใจบทเรียนนั้น มีแค่ตัวเราเองที่ได้รับผลเสีย ซึ่งจริงๆ แล้วเกิดความเสียหายกระทบไปยังประเทศชาติอย่างคาดไม่ถึง (ดังที่บทความข้างบนได้กล่าวไว้) จึงอยากฝากให้เด็กรุ่นใหม่ ได้ตระหนักในบทบาทของตนเองที่มีต่อสังคมมากขึ้น
ส่วนภาคการศึกษานั้น ผมอยากให้ลองคิดกันดูครับว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่หลักสูตรกลับพัฒนาบทเรียนตามเทคโนโลยีไม่ทัน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอยู่ 2 อย่าง คือ
1. วิชาเดิมแต่อัดเนื้อหาเพิ่มเข้าไป สมัยก่อนวิชา programming เรียนแค่การใช้ syntax, if, loop แต่ทุกวันนี้เรียนตั้งแต่ syntax, การใช้ library, framework, IDE tools, การติดต่อ database ไปจนถึง web services ในวิชาเดียว จากประสบการณ์ ผมเคยถูกจำกัดให้สอนการติดต่อ database ในคาบเดียว ทำให้เด็กไม่มีความลึกซึ่งในเนื้อหาเลย ผมอยากให้แบ่งเนื้อหาออกไปเป็นอีกหลายๆ วิชา แต่ก็ทำไม่ได้
2. ชื่อวิชาดูทันสมัย เช่น software design, design pattern, object-oriented แต่ผู้สอนกลับขาดทักษะ ขาดประสบการณ์ในอุตสาหกรรมจริง ตลอดจน(อาจจะ)ไม่รู้จริงไปเลยก็มี ที่จริงเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับชาติมานานแล้ว เพราะเราขาดครูที่มีคุณภาพจริงๆ เรียกได้ว่าสมองไหลไปวงการอื่นหมดเลยครับ (เงินน้อย งานหนักครับ สำหรับอาชีพครู)

ข่าวดีสำหรับนักพัฒนาสาย Java นะครับ ผู้ที่ได้ Cert SCJP (1.4 หรือ 5.0) อยู่แล้ว ทาง SIPA ร่วมกับบริษัท
วันนี้ ผมถือเป็นฤกษ์งามยามดี เพราะ 4 ปีจะมีซักครั้ง เลยมาเขียนบทความที่ได้จากการตกผลึก เกี่ยวกับวงการไอทีบ้านเรา หลังจากที่ผมได้หยุดงานทุกอย่าง แล้วพักผ่อนอย่างเต็มที่ 2 เดือน
โดยในการค้นคว้าของผมนั้น ก็ไม่ได้อ้างทฤษฎีอะไรมาก แค่จะนำหนังสือด้านบริหารที่ผมชอบอ่านมาเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง ซึ่งหนึ่งในหนังสือเกี่ยวกับการบริหารที่ผมชอบอ่าน คือ หนังสือแปลที่เป็นผลงานของปีเตอร์ ดรักเกอร์ ซึ่ง Peter F. Drucker เองนั้น เป็น "บิดาแห่งศาสตร์ทางด้านการบริหารจัดการ" ประสบการณ์กว่า 90 ปี ตั้งแต่ยุค ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud), ฮิตเลอร์ (Hitler) ไปจนถึงจอร์จ ดับเบิลยู บุช ยุคโลกแห่งระบบเศรษฐกิจใหม่ เคยถูกเชิญให้มาศึกษาปรับเปลี่ยนการบริหารองค์กรเอกชน และภาครัฐหลายแห่ง เช่น General Motor, Ford, IBM (ยุคที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้มีความคิดที่จะเชิญดรักเกอร์ มาพูดปาฐกถาในประเทศไทย แต่เนื่องจากค่าตัวสูงหลายล้าน จึงได้ล้มความคิดนี้ไป เพราะช่วงนั้นไทยเพิ่งผ่านวิกฤษเศรษฐกิจ ปี 40 มาไม่นาน) ส่วนผลงานหนังสือ ที่ทำให้เขาโด่งดัง คือหนังสือชื่อ Concept of the Coporation (1942) อันเป็นที่มาของการบริหารแบบกระจายอำนาจ และหนังสือที่ถือเป็นการปฏิวัติวงการการจัดการสมัยใหม่ คือหนังสือที่ชื่อ Practice of Management (1954) ดรักเกอร์ได้รับคำชมว่ามีความรอบรู้ทั้งเชิงลึกและกว้าง สามารถสังเกตการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เร็วกว่าคนอื่น 20 ปี (แม้แต่ บิล เกตต์ เองก็ยังบอกว่า หนังสือด้านการจัดการที่มีอิทธิพลต่อตัวเกตต์ที่สุดคือหนังสือของดรักเกอร์) ดรักเกอร์ได้เปิดโรงเรียนบริหารธุรกิจปีเตอร์ ดรักเกอร์ ที่มหาวิทยาลัยแคลร์มอนท์ (Claremont Graduate School) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ปัจจุบันดรักเกอร์ได้เสียชีวิตไปแล้วในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2005 มีถ้อยคำที่เป็นอมตะฝากไว้ เช่น "ผมไม่เคยพบผู้บริหารที่ทำงาน 2 อย่างในเวลาเดียวกัน แล้วจะมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม" หรือ "ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงประการเดียว ที่นักบริหารจัดการ คือ การ เพิ่มผลิตผลแก่คนทำงานที่ใช้ความรู้ (knowledge worker)" แต่คำพูดที่ผมชอบที่สุด คือ "
เมื่อผมอ่านงานเขียนของดรักเกอร์ จึงประมวลความคิดได้อย่างชัดเจนว่า ทำไมบริษัทต่างๆจึงชอบ outsource โดยผมจะอ้างอิงจากหนังสือที่แปลจากสำนักพิมพ์ Hardvard Business School Press เป็นภาษาไทย โดยสำนักพิมพ์เอ็กซเปอร์เน็ท ดังรูป
ปัญหาทั้งหมดนี้ทำให้ outsourcing นิยมขึ้นทั่วโลก โดยบริษัทขนาดใหญ่ฝั่งตะวันตกก็ outsource งานมาฝั่งประเทศตะวันออก เช่น จีนและอินเดีย เพราะแรงงานมีราคาถูกกว่า, กฎหมายแรงงานเข้มงวดน้อยกว่า ด้านประเทศฝั่งตะวันออก และบริษัทขนาดเล็กฝั่งตะวันตกก็ไม่ได้ outsource งานไปไหน แต่จะนิยม outsource งานภายใน ให้บริษัทภายนอกมาทำอยู่ในองค์กรนั้นเลย